วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

"โลกของความเป็นเพื่อน" [บทความส่งต่อทางไลน์]

ครั้งหนึ่งพาลูกชาย ตอนนั้นน่าจะอายุราว
6-7 ขวบไปเล่นสวนน้ำบน
หลังคาห้างสรรพสินค้าใหญ่
ปล่อยให้วิ่งเล่นน้ำในสระน้ำตื้นๆ
คอยมองไม่ให้คลาดสายตา...

ตอนแรกลูกชายเล่นอยู่คนเดียว
พอสักพักมีเด็กวัยเดียวกันที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเข้ามาเล่นด้วย

จากหนึ่งคน เป็นสอง เป็นสาม...
ไม่ช้าเป็นกลุ่มใหญ่ ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะให้กันสนุกสนาน ...
พากันเล่นโน่น เล่นนี่ด้วยกัน!

ความเป็นเพื่อนของเด็กเกิดง่ายมาก แค่นำตัวเองเข้ามาร่วม กลุ่มก็เปิดรับ
เรียบง่าย ไม่มีอื่นใด...

นึกถึงสมัยเรียนมัธยม วัยที่โลกนี้มีแต่เพื่อนเท่านั้นที่สำคัญที่สุด...
ไม่เรียบง่ายเหมือนสมัยเด็กเล็กๆ
แต่ไม่มีอะไรซับซ้อน ขอเพียงมีเวลาให้กัน
แค่นั้นทุกอย่างก็จบ
อาจจะทะเลาะกันบ้าง แต่เมื่อหายโกรธ...ก็กลับมากอดคอเที่ยวเล่นกันได้เหมือนเดิม

รักกันเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่มากกว่าความเป็นเพื่อนอีกแล้ว!!!

ยิ่งโตขึ้นความรู้สึกแบบนี้ยิ่งค่อยๆเลือนหายไป...
เริ่มที่จะเลือกคนที่จะมาเป็นเพื่อนมากขึ้น ตัดขาดเพื่อนเก่าบางคน

มองหาใครที่จะมาเป็นเพื่อนใหม่ มีกรอบที่จะคัดสรรคนมาเป็นเพื่อนมากขึ้น
อย่างน้อย...มีสไตล์ชีวิตคล้ายๆ กัน
มีเรื่องราวที่สนอกสนใจเหมือนๆ กัน
หรือไม่บางคนถึงขั้นต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น!!!

โลกของเพื่อนแคบลงเรื่อยๆ
มองคนที่มีสไตล์ชีวิตแตกต่าง หรือไม่มีประโยชน์ร่วม ไร้สาระ
เสียเวลาที่จะคบหา...

โกรธใครสักคนก็หัวปัก หัวปำ ชาตินี้ยากจะคืนดีกันได้
หรือหากเป็นเรื่องผลประโยชน์ขัดกัน อาจถึงขั้นต้องล้างผลาญแตกหัก
ดับดิ้นกันไปข้างหนึ่ง!!!
ความเป็นเพื่อนที่เรียบง่าย ค่อยๆ จางหายไป...

แต่เมื่อวันที่ชีวิตเริ่ม เข้าสู่วัยชรา
เหมือนความเรียบง่ายนั้นจะกลับมาเอง...

เราจะพบเห็นเสมอว่าคนแก่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แค่นั่งกินกาแฟ
ร้านเดียวกัน มีเรื่องคุยกันได้ครึ่งค่อนวัน เล่าถึงวันเก่าๆ...เรื่องราวของลูกหลานแลกเปลี่ยนกัน...

ในสวนสาธารณะ ที่ไปเดินออกกำลังกาย ผู้สูงอายุต่างพูดคุยกัน
ช่วยเหลือเอื้ออาทรกันโดยไม่ถือชั้นวรรณะ... เอ็งจนข้ารวย

ข้าเคยมีตำแหน่งใหญ่โต ส่วนเอ็งแค่คนหาเช้ากินค่ำ
ไม่เอาอะไรแบบนั้นมาปิดกั้นความสัมพันธุ์อีกแล้ว!!!
เมื่อไม่มีกรอบของชีวิตเสียแล้ว ความเป็นเพื่อนก็เกิดขึ้นง่ายๆ...
อาจจะเป็นความไม่มีกรอบที่เกิดขึ้นจากความไร้เดียงสาของเด็กๆ

หรือกรอบถูกสลัดไปจากความเจนโลกเจนชีวิตของคนแก่...
มิตรภาพที่เรียบๆ ง่ายๆ ไม่มากเรื่องมากความ
เกิดจากชีวิตที่ไม่มีกรอบขังตัวเองไว้ให้ห่างจากคนอื่น
ความสนุกสนานเฮฮากับเพื่อนร่วมรุ่นได้ เป็นสิ่งที่มีค่า
เพราะเราได้ชีวิตในวัยเด็กที่เรียบง่ายกลับคืนมา...

ในรุ่นเพื่อนสมัยมัธยม บางกลุ่มก็เป็นอย่างนั้น แยกย้ายกันไปสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างชื่อเสียง บางคนสำเร็จ หลายคนล้มเหลว บางคนชีวิตเหมือนวันเก่าๆ!!!
ในงานเลี้ยงรุ่นชั้นมัธยม หากกลุ่มไหน เอาแต่ยกย่องชมเชยเพื่อนที่ได้เป็นใหญ่เป็นโต ร่ำรวย มีหน้ามีตา
ละเลยเพื่อนที่ยังเดินไปไม่ถึงฝัน จะเป็นงานเลี้ยงรุ่นที่เพื่อนมาร่วมน้อยลงไปเรื่อยๆ...
แต่หากกลุ่มไหน ให้เกียรติเพื่อนเสมอกัน เพื่อนผู้ประสบความสำเร็จมีวุฒิภาวะพอ
ที่จะรู้ว่าต้องถอดหมวกแห่งความยิ่งใหญ่ ทิ้งไปก่อนเข้างาน
มาในฐานะ "เพื่อน" ที่เสมอๆ กัน!!!
งานเลี้ยงเพื่อนรุ่นนั้นยิ่งนานยิ่งมีเสน่ห์ เพื่อนที่จะเข้าร่วมยิ่งมากขึ้น
ทำตัวเหมือนเด็กที่ชวนกันวิ่งเล่นในสวนสาธารณะ

หรือเหมือนผู้เฒ่าผู้แก่ที่ชวนกันคุยเรื่องราวเก่าๆ ในร้านกาแฟได้มากเท่าไร!!!
ถอดกรอบที่ตัวเองตีไว้ เปิดใจรับเพื่อน โดยไม่นึกถึงประโยชน์ตัวเองได้มากเท่าไร!!!
ชีวิตในเวลาที่อยู่กับเพื่อนจะสนุกสนานเฮฮาได้มากเท่านั้น



ชอบบทความนี้อ่ะ และมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ มานั่งคิดว่า นานเท่าไหร่แล้ว ที่เราเริ่มจะคัดคนเข้ามาเป็นเพื่อน ตัดเพื่อนเก่าๆ ที่ไม่จำเป็นออก แล้วก็มั่นใจด้วยว่าเพื่อนเก่าบางคนก็ทำกับเราแบบนี้นะ โทรไปไม่รับ ทั้งที่แค่โทรไปเพื่อถามทุกข์สุขธรรมดา แต่ก็อย่างว่า บางคนอาจจะคิดว่าเมื่อสนใจชอบใจไม่เหมือนกัน คงจะเสียเวลาคุย

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

Team Dragon 4 คุณหมอสุดหล่อกลับมาอีกล่ะ

ครั้งแรกที่ได้ดูซีรีส์ชุดนี้ประมาณปี 2008 เขาบอกว่าเป็นซีรีส์ที่ได้รางวัล ก็เลยหยิบมาดู ตอนหลังก็กลายเป็นแฟนคลับคุณหมอริวสุดหล่อไปเลย
ย้อนไปภาคแรก ตอนนั้นคุณหมอริวไม่ได้เป็นหมอแล้ว เนื่องจากมีเหตุบางอย่างที่ทำให้เขาถูกไล่ออกจากโรงพยาบาล เขาเลยมาใช้ชีวิตเสเพล ณ บ้านริมทะเล กินเหล้าเคล้านารีไปวันๆ จนกระทั่งได้พบกับคุณหมอคาโต้ แพทย์หญิงที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป
หลงรักตั้งแต่เห็นก้น เอ๊ย กล้ามแน่นๆ แอร้ยยยยย

และก็ยังคงติดตามเรื่อยมา จนกระทั่งมาถึงภาคที่ 4 อันที่จริงนึกว่าหมดภาค 3 ก็ไม่มีแล้วด้วย เพราะมีความรู้สึกว่าภาคที่ 3 เริ่มหมดมุกจะเล่น พอมาภาคที่ 4 ตื่นเต้นเร้าใจมาก (อาจจะเป็นเพราะทิ้งช่วงนานด้วยแหละ)

IRYU Team Medical Dragon 4จากซ้ายไปขวา บน  คุณหมออาราเสะ คุณหมอโนงุจิตัวแสบ คุณหมอซากุไร
กลาง โอคามุระ คุณหมออาซาดะ (ริวจัง)
ล่าง คุณหมอฟุจิโยชิ คุณหมอคาโต้ คุณหมออิจูอิน

ทีมดราก้อนในภาคนี้ยังคงอยู่กันครบ พร้อมหน้าพร้อมตา ยกเว้นมิกิจังที่ดูจะหายไปนาน

ประกอบด้วย
คุณหมออาซาดะ ศัลยแพทย์ผู้เก่งกาจ เมพที่สุดในปฐพี
คุณหมอคาโต้ ศัลยแพทย์หญิง ที่มีความสามารถมาก โดยเฉพาะในด้านงานวิจัย
คุณหมออิจูอิน ศัลยแพทย์ที่อาซาดะฝึกมากับมือ เชี่ยวชาญด้านการใช้สายสวนหลอดเลือดหัวใจ
คุณหมออาราเสะ วิสัญญีแพทย์นับเจ็ด ความสามารถในการใช้ยาสลบและการดูแลผู้ป่วยในระหว่างผ่าตัดเป็นเลิศ  
คุณหมอฟุจิโยชิ อายุรแพทย์ที่คอยดูอาการคนไข้ทั้งก่อนและหลังผ่าตัด

เปิดตัวที่โอคามุระที่ปรึกษาโรงพยาบาลเดินทางไปสำรวจหาพื้นที่ที่จะสร้างโรงพยาบาลในอินเดีย แน่นอนว่าหมอนี่ต้องสมคบคิดกับคุณหมอทางุจิตัวแสบ (ที่ภาคนี้รู้สึกนิ่งมากขึ้น แต่ยังคงชอบปลามังกรเหมือนเคย)

ส่วนคุณหมอริวก็ยังคงเป็นแพทย์อาสาอยู่ในค่ายแพทย์สำหรับผู้ลี้ภัย เปิดมาก็โชว์ความเมพด้วยการใช้สว่านผ่ากะโหลกเด็ก

คุณหมอริวถูกคุณหมอซากุราอิ อาจารย์ของคุณหมอขอร้องให้มาช่วยงานโรงพยาบาลซากุไรโรงพยาบาลขนาดเล็กในเมืองเล็กๆ ที่กำลังจะปิดตัวลงเนื่องจากมีโรงพยาบาล L&P โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องมือการแพทย์ล้ำสมัยและบุคลากรมากมายมาเปิดตัวเป็นคู่แข่ง

แน่นอนว่าคนไข้ก็ต้องไปรักษาโรงพยาบาลที่ดูเหมือนจะดีกว่า

ทว่าโรงพยาบาลที่เพียบพร้อมหรือจะสู้หมอที่มีหัวใจนักสู้ อาซาดะรวบรวมคนในทีมที่ดูเหมือนว่าจะเบื่อหน่ายการทำงานในโรงพยาบาลเดิมๆ ที่เจอเพื่อนร่วมงานและระบบงานที่ไม่ค่อยดี ให้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง

การกลับมาของอาซาดะและพรรคพวก เป็นที่หมายตาของโอคามุระและโนงุจิ เขาต้องการให้ทีมดราก้อนมาเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาล L&P และไปเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์การแพทย์ที่สุดแสนจะทันสมัยที่อินเดีย

โนงุจิและโอคามุระใช้วิธีต่างๆ ที่จะบีบให้คนของทีมดราก้อนมาร่วมงาน เริ่มจากฟุจิโยชิ โดยอาศัยงานวิจัยของฟุจิโยชิและใช้ชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาต่อรอง คนถัดมาคือคาโต้ โอคามุระเอางานวิจัยมาชวนให้คาโต้ไปเป็นพวก จากนั้นก็ดึงอาระเสะและอิจูอินเป็นรายต่อมา

ยังคงเป็นอาซาดะที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย แต่เขาจะยืนหยัดได้อย่างไร ในเมื่อเดิมพันนั้นคือชีวิตอาจารย์ที่เขาเคารพที่สุด

อิริยาบทสุดเท่ของคุณหมอหัวใจแกร่ง ฉากที่ขาดไม่ได้คือถอดเสื้อซ้อมผ่าตัดกลางดาดฟ้า
เรื่องนี้ยังคงมีฉากผ่าตัดเลือดสาดอันเป็นเอกลักษณ์ หัวใจเต้นตุบๆ แล้วหมอริวก็ผ่าทั้งหัวใจเต้นๆ นั้นแหละ แล้วก็ฉากที่ขาดไม่ได้ คือฉากซ้อมผ่าตัดของหมอริว ที่ต้องเอารอยแผลเป็นรูปมังกรที่หลังไปรับพลังจากแสงจันทร์ที่ดาดฟ้าก่อนการผ่าตัดจริง สมนาคุณผู้ชมกันไป อีกฉากที่ขาดไม่ได้คือฉากเดินลงบันไดท่ามกลางผู้คนปรบมือหลังจากการผ่าตัดอันยากเย็นเข็ญใจผ่านพ้นไปด้วยดี

ภาคนี้ยังเปิดเผยถึงอดีตของหมอโนงุจิ คนเลือกตัวละครเก่งมาก คนที่เล่นเป็นคุณหมอโนงุจิตอนหนุ่มถ้าแก่มา คงหน้าคล้ายหมอโนงุจิคนปัจจุบัน หน้าตา บุคลิกได้เลย

ตอนที่ชอบที่สุดคือตอนที่เปิดเผยอดีตของคุณหมอซากุไร หมอโนงุจิกล่าวหาว่าซากุไรเป็นหมอเถื่อน ไม่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ แต่อาซาดะก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ จนในที่สุดความจริงอันน่าตกใจก็เปิดเผยขึ้น

ส่วนคำพูดที่ชอบที่สุดในเรื่องมาจากตอนที่ 1 ตอนที่มีการผ่าตัดพร้อมกันสองห้อง อาซาดะผ่าตัดห้อง 1 คาโต้ผ่าตัดห้อง 2 แล้วเกิดไฟดับ ท่ามกลางหิมะแรกของฤดู อาซาดะต้องสั่งปิดฮีทเตอร์ทั้งโรงพยาบาล ปิดเครื่องปอดหัวใจเทียมผ่าตัดแบบ on-beat (ปล่อยให้หัวใจเต้น) สงวนพลังงานจากเครื่องสำรองไฟให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบห้องคาโต้ คาโต้เองก็ผ่าตัดโดยใช้เครื่องหัวใจเทียมที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แทนที่จะใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมที่ต้องใช้ไฟฟ้า เพื่อสงวนพลังงานเช่นกัน แล้วเธอก็พูดว่า
"ถึงเราจะแยกกันอยู่ แต่เราก็คิดเหมือนกัน นั่นแหละคือทีม"
โดยรวมแล้วชอบภาคนี้มากกว่าภาค 2-3 นะคะ มีการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมันที่มากขึ้นของคุณหมออาซาดะ และทุกคนในทีม ที่จะช่วยกันเอาชนะโรคร้าย และเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัด เพื่อนำรอยยิ้มและความสุขคืนกลับมาให้ผู้ป่วยและคนในครอบครัว หลงรัก เอ้ย ชอบมากๆ ค่ะ

สุดท้ายขอขอบคุณ dark-dramas ที่นำละครญี่ปุ่นดีๆ มาใส่ซับไทยให้ดูกันนะคะ

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ลูกไม้ลายสนธยา : พงศกร



เรื่องย่อ

หลังจากการมรณกรรมของคุณยายประพิมพ์ เศรษฐีนีแห่งรุมิหราเมืองเล็กทางตอนใต้ของประเทศไทย เดือนพัตราทายาทของคุณประพิมพ์ได้เดินทางมาที่คฤหาสน์ริมทะเล ในขณะที่อยู่ในบ้าน เดือนพัตราพบความผิดปกติบางอย่างที่ทำให้เธอกังขาเกี่ยวกับการเสียชีวิตของคุณประพิมพ์ ซึ่งตามสำนวนคดีของตำรวจบอกว่าเป็นการฆ่าตัวตายจากการกินยานอนหลับเกินขนาด แต่บนโต๊ะเครื่องแป้งของคุณประพิมพ์ยังมี note เตือนความจำเรื่องวันเกิดของเดือนพัตราอยู่

เดือนพัตราตัดสินใจหาอะไรทำไปพลางๆ ในระหว่างที่อยู่ในรุมิหรา เธอตัดสินใจเปิดห้องเสื้อ และเดือนพัตราเผอิญได้พบลูกไม้โบราณซึ่งคุณประพิมพ์เก็บสะสมมานานปี อาจจะตั้งแต่สมัยที่ท่านไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าที่อังกฤษก็เป็นได้

ในบรรดาลูกไม้หลากหลาย มีชิ้นหนึ่งที่สวย ลึกลับและแปลกตา เป็นลูกไม้สีดำ ขอบลูกไม้เป็นดาว ถัดมาเป็นพระจันทร์เสี้ยวเล็กเสี้ยวใหญ่ 30 ดวง มีเพียงดวงเดียวเท่านั้นทอด้วยลูกไม้สีทอง ซึ่งคุณประพิมพ์เขียนว่ามาจาก 'อุตตรกุรุทวีป'

ระหว่างนั้น เดือนพัตราได้พบกับชายผู้หนึ่ง ในกระจกเงา ชายผู้นั้นหล่อเหลามาก เขาสวมเพียงผ้าพันเอวสีขาว ตอนแรกเดือนพัตราเข้าใจว่าเขาเป็นโจร แต่เมื่อพบกันหลายครั้ง เธอก็เลยสอบถามว่าเขาเป็นใคร ชายผู้นั้นตอบว่าเขาชื่อเหมหิรัญญ์มาจากอุตตรกุรุทวีป ดินแดนที่สูงกว่าชมพูทวีปที่มนุษย์อาศัย ผู้คนที่นั่นถือศีล 5 อย่างเคร่งครัด คนที่นั่นจึงเปี่ยมไปด้วยอายุ วรรณะ สุขะ และพลัง เมื่อมีอายุครบ 1,000 ปีก็จะละทิ้งสังขารไป โดยไม่เจ็บไม่ไข้

แล้วเดือนพัตราก็ได้ค้นพบว่าที่แท้บ้านที่เธออยู่อาศัย มีประตูเชื่อมต่อกับอุตตรกุรุทวีป ทำให้บ้านนี้เป็นที่หมายปองของผู้คนมากมาย ซึ่งการเสียชีวิตของคุณประพิมพ์ก็อาจมาจากสาเหตุนี้ และอันตรายกำลังจะคืบคลานเข้ามาหาเธอด้วยเฉกเช่นกัน

วิจารณ์

อ่านเรื่องนี้ถึงได้รู้ว่าแท้จริงคำว่า 'ชมพูทวีป' ในพระไตรปิฎก คือโลกมนุษย์ ไม่ใช่อินเดียอย่างที่ฉันเคยคิดว่ามันเป็น

เรื่องนี้สนุกตามสไตล์ของพงศกร แต่ก็ไม่แคล้วมีจุดบกพร่องให้หาเจออีกจนได้...

ปกติอ่านหนังสือก็ไม่จับผิดนักเขียนนะ แต่บางครั้งมันเจอเอง และพงศกรเจอหลายเล่มเหมือนกัน พอเจอแล้วมันสะดุด อารมณ์เหมือนเดินๆ สวยๆ อยู่ในทุ่งดอกไม้ แล้วจู่ๆ สะดุดตออ่ะคะ ต่อให้ดอกไม้ข้างหน้าสวยเริ่ดขนาดไหน ก็ไม่มีอารมณ์ชมอ่ะ

ตอที่ 1
ตอนแรกเดือนพัตราคุยกะแม่บ้านชื่อศิถี ตอนที่เจอลูกไม้สีดำครั้งแรก แล้วอ่าน note ที่คุณประพิมพ์จดไว้ว่าได้มาจากอุตตรกุรุทวีป ศิถียืนยันว่าไม่เคยได้ยินชื่อทวีปนี้มาก่อน (หน้า 55) แต่พอมาตอนหลัง ตอนที่เหมหิรัญญ์มาอยู่กับเดือนพัตราแล้วแม่ของเดือนพัตราสัมภาษณ์ชายหนุ่มว่ามาจากไหน เขาตอบว่ามาจากอุตตรกุรุทวีป ศิถีดันอธิบายได้เป็นฉากๆ ว่าที่นั่นเป็นสถานที่แบบไหน แล้วบอกว่าฟังพระเทศน์มา (หน้า 313) มันขัดกันไหมคะคุณขา เรื่องเพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงเดือน

ตอที่ 2
ตอนที่เหมหิรัญญ์ป่วยทั้งๆ ที่คนอุตตรกุรุทวีปไม่เคยป่วย แล้วเรขรุจีเพื่อนของเหมหิรัญญ์มาบอกสาเหตุว่าเขาน่าจะป่วยเพราะมาอยู่ในชมพูทวีปนานเกิน ที่นี่ไม่เหมาะกับเขา แต่ไม่ว่าใครเกลี้ยกล่อมยังไง เขาก็ไม่กลับเพราะห่วงความปลอดภัยของเดือนพัตรา เรขรุจีแนะนำให้เดือนพัตราทำเหมือนว่าเธอไม่รักเขาแล้ว และคบซ้อนกับผู้ชายอีกคนอยู่ ด้วยความเคร่งครัดศีล 5 จะทำให้เขาคิดว่าเธอผิดศีลข้อ 3 แล้วก็จะไม่คู่ควรกับเขาอีกต่อไป เขาทิ้งเธอแน่ๆ (หน้า 425) พอมาถึงหน้า 442 เรขรุจีดันยุส่งให้เหมหิรัญญ์ทิ้งเดือนพัตราเพราะเธอไม่ได้รักเขาคนเดียว จริงๆ ถ้าเป็นนางอิจฉาทั่วไปก็คงไม่เท่าไหร่หรอก แต่นี่เป็นเรขรุจีเชียวนะ เธอเป็นหญิงสาวจากอุตตรกุรุทวีป ซึ่งต้องเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรมเข้มข้นมากๆ จึงไปบังเกิดในสถานที่แห่งนี้ได้ แต่นี่เท่ากับเธอผิดศีลข้อ 4 เต็มเปา โกหกแบบให้อภัยไม่ได้เลย

ตอที่ 3
สังเกตเวลาที่เหมหิรัญญ์พูดกับเดือนพัตรา ใช้สรรพนามเดี๋ยวคุณ-ผม เดี๋ยวเรา-ท่าน เอาให้มันแน่สักอย่างก็จะดีไม่น้อย

ความสนุกก็มีมาก แต่แอบขัดใจหลายๆ จุดค่ะ คิดว่าทีมงานน่าจะตรวจทานข้อมูลให้ดีกว่านี้ก่อนส่งงานออกสู่สายตาประชาชนนะ พอมันพลาดแบบนี้แล้วแก้ยากค่ะ เพราะคุณหมอเองก็เขียนมาหลายเรื่องล่ะ น่าจะดีกว่านี้อีกสักหน่อย แอบคาดหวังนะ เพราะงานคุณหมอเจออารมณ์สะดุดตอมาหลายเรื่องแล้ว

คะแนน
6/10

บ่วงรักปาฏิหาริย์ : พราวพิรุณ



เรื่องย่อ

อรุณรุ่งสางสาวที่โดนคำสาปจากสมิงมาหลายชั่วอายุคน เธออยากแก้คำสาป แต่การแก้คำสาปต้องกินมังสวิรัติและหาชายที่รักจริงมาแต่งงานด้วย แต่ใครกันจะมารักผู้หญิงที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยลายพาดกลอน

ฮันเตอร์ นายแบบหนุ่มผมสีชมพู ใบหน้าสวยหวานราวกับผู้หญิงถูกว่าจ้างให้มาถ่ายแบบที่รีสอร์ทซึ่งติดกับชายป่าที่อรุณรุ่งอาศัยอยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วรีสอร์ทนี้เป็นของสาวิตรี แม่ของอรุณรุ่ง สาวิตรีเป็นทายาทมหาเศรษฐีชาวอินเดีย แต่ได้พบรักกับอาทิตย์สางหนุ่ม พ่อของอรุณรุ่ง เลยอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่เมื่ออรุณรุ่งเกิดอาทิตย์ก็ตายทันทีตามคำสาปของสมิง

ในตอนแรกอรุณรุ่งถูกใจนายแบบหนุ่มลูกครึ่งเกาหลี แต่เขาดันรังเกียจเธอ ผิดกับฮันเตอร์ที่ตอนแรกเหมือนจะตามจับผิด แต่พอเขาเห็นว่าจริงๆ แล้วอรุณรุ่งเป็นผู้หญิงที่น่ารัก ก็เริ่มตกหลุมรักอรุณรุ่งจริงๆ

งานถ่ายแบบเหมือนจะทำงานได้อย่างราบรื่น ทว่ากลับพบศพช่างไฟฟ้าของรีสอร์ทติดมาในรูปถ่ายทุกใบ ซึ่งหลายๆ คนในทีมงานปักใจว่าเป็นฝีมือของอรุณรุ่ง...

วิจารณ์

เป็นหนังสือที่น่ารักดีค่ะ อ่านง่ายๆ เบาๆ อ่านแล้วหลงรักฮันเตอร์เลย ตอนที่เฉลยปมว่าใครเป็นฆาตกร ก็แอบอึ้งๆ ไปเหมือนกัน ตอนจบแก้คำสาปได้ นางเอกก็กลับมาสวยดังเดิม

รวมๆ แล้ว feel good ดีค่ะ

คะแนน
7/10

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คลื่นลวง : กิ่งฉัตร


เรื่องย่อ

สึนามิที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 อาจพรากชีวิตผู้คนมากมาย แต่สำหรับรพี สึนามิกลับให้ชีวิต ชีวิตที่เกือบดับสูญไปภายใต้ความลวงของผู้เป็นภรรยา

รพีกับภรรยาถูกยิงบนเรือยอร์ชหรูในขณะที่กำลังท่องเที่ยวทะเล สายน้ำพัดพารพีไปที่เกาะปรกดาว จนได้พบกับตุลยาหรือนายตะวันเจ้าของรีสอร์ท หญิงสาวที่งดงามทั้งหน้าตาและจิตใจ เธอช่วยรักษาอาการ ช่วยดูแล แม้ว่าตมิสาหรือจันทร์เจ้าผู้เป็นน้องสาวจะพยายามคัดค้านอย่างมาก เพราะกลัวว่ารพีเป็นพวกมิจฉาชีพ แต่ตุลยาก็ไม่สนใจ คอยดูแลเอาใจใส่จนรพีฟื้นตัว กลายเป็นแรงงานที่มีประโยชน์กับรีสอร์ทเกาะปรกดาว

จนกระทั่งวันหนึ่งรพีได้เห็นข่าวศุภดาภรรยาสุดที่รักที่เข้าใจว่าถูกยิงตายไปแล้วในหน้านิตยสาร แถมยังให้ข่าวบิดเบือนเรื่องของเขา ทำให้รพีคิดว่าถูกภรรยาลวงมาฆ่า เขาจึงตัดสินใจกลับไปที่กรุงเทพฯ เพื่อสะสางเรื่องราวทั้งหมด โดยจ้างจันทร์เจ้าขึ้นมาเป็นเลขาส่วนตัว งานหลักก็คือให้จันทร์เจ้าคอยเปิดหูเปิดตาหาเรื่องของเธอไว้ ว่าใครกันที่ร่วมมือกับศุภดาคิดร้ายกับเขา จันทร์เจ้าเห็นแก่ว่าที่พี่เขยจึงยอมขึ้นมาช่วยด้วยเงินเดือนเดือนละสามแสน

เมื่อขึ้นมาที่กรุงเทพฯ คนแรกที่รพีสงสัยว่าจะเป็นชู้รักกับศุภดาคือชัชวาล หุ้นส่วนซึ่งมีประวัติไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาเล่าให้จันทร์เจ้าฟังว่าก่อนหน้านี้คนที่เขาร่วมหุ้นด้วยเป็นพี่ชายบุญธรรมของชัชวาล ชื่อธุมธวัช แต่ทั้งสองมีปัญหากันจนธุมธวัชต้องหนีไปอยู่อเมริกา ทำให้จันทร์เจ้ามีอคติกับชัชวาลเต็มที่

จนกระทั่งได้พบกับชัชวาล และได้รับความช่วยเหลือจากเขา ทำให้จันทร์เจ้าชักไม่ค่อยแน่ใจแล้ว ว่าจริงๆ แล้วชัชวาลคิดร้ายกับรพีจริงหรือไม่ และจริงๆ แล้วคนร้ายตัวจริงเป็นใคร...

วิจารณ์

เรื่องนี้ต่อเนื่องมาจากรอยพรหม คนเขียนทิ้งให้หนุ่มใหญ่อย่างคุณชัชอกหัก สองครั้งสองครา คราวนี้เป็นทีของคุณชัชที่จะได้สมหวังซะที กับสาวน้อยวัยใส ผิวเข้ม ตาคม ไม่มีอะไรตรงสเป็คของคุณชัช ซึ่งต้องเป็นสาวหวาน หน้าฝรั่งเลยสักนิด

ส่วนพระเอกนางเอกอย่างคุณรพีกับนายตะวัน ถูกคู่รองอย่างคู่คุณชัชกะจันทร์เจ้ากลบไปเลย เผลอๆ ยังนึกว่าคู่นั้นเป็นคู่หลักซะอีกนะเนี่ย

เรื่องนี้วางปมสู้เรื่องรอยพรหมไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงความสนุก ถือว่าไม่แพ้กัน แค่เจอคุณชัชกะจันทร์เจ้าลับฝีปากกันก็ฮาพอล่ะ ยังไม่นับตอนที่จันทร์เจ้าแอบแย๊บหมัดใส่เมียจอมลวงของรพีอีกนะ เล่นเอาศุภดาไปไม่เป็นเลยทีเดียว

ส่วนนายตะวันนับว่าเป็นนางเอกที่บทน้อยมาก โดนนางรองกลบมิด โผล่มาสวยงามแค่ช่วงต้นๆ แล้วก็แสดงถึงความเฉียบแหลมในการปิดคดีช่วงท้าย ส่วนตรงกลางเรื่องแม่น้องสาวจัดการเรียบ

คะแนน
10/10

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รอยพรหม : กิ่งฉัตร


เรื่องย่อ

ธาราธร วิศวกรสาวตัดสินใจเดินทางกลับมาประเทศไทยหลังจากอยู่ที่อเมริกามานานเกือบจะเท่าอายุของเธอ สาเหตุหลักคือมาทำงานติดตั้งเครื่องจักรให้กับบริษัททวีโกวิทตามที่บริษัทแม่ส่งมา และเหตุผลเสริมก็คือเธออยากหาความจริงเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมพริมโรสมารดาของเธอ ซึ่งถูกปิดคดีไปอย่างน่ากังขา แม้ว่าเวลาจะผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้วก็ตามแต่ยายของธาราธรก็ยังคาใจจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ว่าแม่ของธาราธรอาจถูกฆาตกรรมโดยผู้ชายตระกูลทวีโกวิท อาจจะเป็น ธุมธวัช ชัชวาล สองหนุ่มที่เป็นเพื่อนรักของมารดา หรือกมล บิดาของสองหนุ่ม

ธาราธรตัดสินใจกลับมาพักที่บ้านหลังเก่าของแม่เธอ ซึ่งอยู่ติดกับบ้านหลังใหญ่ของตระกูลทวีโกวิท แม้ว่าธุมธวัชกับกมลจะให้การต้อนรับธาราธรอย่างดี แต่ก็แฝงไปด้วยความคลางแคลงใจ ผิดกับชัชวาล หนุ่มเจ้าเสน่ห์ ที่ตกหลุมรักธาราธรตั้งแต่แรกพบ เขารู้สึกราวกับว่าพริมโรสกลับมาหาเขาอีกครั้ง และครั้งนี้เขาจะต้องพยายามทำให้เธอมารักเขาให้ได้

แม้ว่าชัชวาลจะพยายามทำดีกับธาราธร แต่เธอกลับรู้สึกกับเขาเพียงฐานะเพื่อน ในขณะที่ธุมธวัช มีเพียงความเงียบขรึม เฉยชา แต่ธาราธรกลับรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้ง ด้วยความเข้าอกเข้าใจที่มีต่อกัน ทำให้ธาราธรรู้สึกดีกับธุมธวัชมากกว่า 

เรื่องราวเดินทางกลับมาซ้ำรอยอดีต ที่พริมโรสรักธุมธวัช แม้ว่าชัชวาลจะดีแสนดีกับเธอแค่ไหนก็ตาม ท่ามกลางความลับดำมืดเกี่ยวกับคดีอีกมากมาย ที่ธาราธรยังต้องค้นหา

วิจารณ์

เรื่องนี้อ่านกี่ทีก็ชอบ คนเขียนผูกเรื่องราวได้สนุกน่าติดตาม จนบางทีแม้ว่าจะแอบคิดว่าธุมธวัชกับธาราธรรักกันเร็วมากไปไหม เจอกันแค่สามอาทิตย์ก็หิ้วกระเป๋าหนีตามกันไป แต่เพราะความสนุกและน่าติดตามของพล็อตเรื่องแนวพิศวาสฆาตกรรม ก็เลยแอบลืมๆ เรื่องนี้ไป (บางทีคุณธุมอาจจะกลัวเตะปี๊บไม่ดัง กว่าจะจีบสำเร็จ เลยรวบรัดรีบหนีตามไปเลย 555)

ฉากที่ชอบที่สุดคือตอนที่ชัชวาลเริ่มพาลธุมธวัช ก็เลยบอกธาราธรไปว่าธุมธวัชอาจเป็นพ่อของธาราธรก็ได้ ธาราธรอึ้งไป ธุมธวัชเลยคว้านางมากอด แล้วก็บอกว่า ไม่มีพ่อที่ไหนกอดลูกแบบนี้หรอก เขาไม่เคยได้รับโอกาสเป็นพ่อของธาราธรด้วยซ้ำ ฟินแลนด์กันไปคนอ่าน

คราวหน้าอ่านคลื่นลวง คราวนี้คงเป็นทีของคุณชัช...

คะแนน
10/10

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บ้านของหัวใจ (ชุด 'หอมลมหวน') : ปาลินี


เรื่องย่อ

เรณูหญิงวัยกลางคนเริ่มจะมีอาการความจำเสื่อม หลังจากประสบอุบัติเหตุหลายปี หมอที่รักษาบอกว่าควรให้เรณูย้ายไปอยู่ในบ้านที่มีอากาศบริสุทธิ์ มีความสงบร่มรื่น เพื่อให้เธอได้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดเหมือนกับอยู่บ้านใหญ่ของครอบครัว ที่เป็นร้านทำเฟอร์นิเจอร์

ในตอนแรกภมรและเกสรพี่ชายและน้องสาวของเรณูไม่เห็นด้วย ที่เรณูจะขอย้ายไปอยู่บ้านที่เคยเกือบจะเป็นเรือนหอของเธอกับผู้ชายที่ทิ้งเธอไป ทั้งสองกลัวว่าความรักความหลังจะทำให้เรณูเสียใจมากขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่อาจขัดความต้องการของเรณูได้ บวกกับได้รับอนุญาตจากหมอที่รักษา ทำให้พวกเขาจำยอมให้หมอเกวลินลูกสาวของเกสรช่วยหาช่างมาตกแต่งบ้านให้พร้อมอยู่

เกวลินจึงจ้างทีมของเอกบดินทร์มาตกแต่งบ้านที่เคยร้างไปร่วมสามสิบปี ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความดีใจของมานพ พ่อของเอกบดินทร์ ที่เคยเป็นผู้สร้างบ้านหลังนี้ให้เป็นเรือนหอของเขากับเรณู แต่มีเหตุบางอย่างให้จำต้องเลิกร้างกันไป มานพอยากรู้ใจแทบขาด ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นใคร เขาแอบหวังลึกๆ ว่าจะได้พบกับเรณูอีกครั้ง

ในขณะที่บ้านกำลังตกแต่ง หัวใจของเกวลินกับเอกบดินทร์กลับยิ่งผูกพัน ทว่าปมรักในอดีตกลับเป็นดั่งอุปสรรคที่ขวางกั้นทั้งคู่ไว้ เพราะมานพกำลังจะกลับไปหาเรณู หญิงที่เขารักไม่ลืมเลือน ในขณะที่ยังมีแม่ของเอกบดินทร์เป็นภรรยาอย่างถูกต้อง ส่วนเอกบดินทร์ก็ต้องหนักใจกับลลิตา คนรักเก่าที่พยายามทุกวิถีทางที่จะมาขอคืนดี แถมยังมีวรรวิศาเพื่อร่วมงานที่หลงรักเขาอย่างออกนอกหน้าอีกคน

วิจารณ์

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องในชุด หอมลมหวน ว่าด้วยความรักในอดีตที่หวนกลับมาอีกครั้ง เรื่องนี้เขียนได้ดี อ่านสนุก ลุ้นกับความรักของสองคู่ ทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็ก

สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือความมั่นคงในความรักของมานพ ในขณะที่ต้องรับผิดชอบผู้หญิงอีกคน อยู่กินกับผู้หญิงคนนั้นหลายปี แม้ว่าฝ่ายหญิงจะเอาอกเอาใจ แต่หัวใจของเขาก็ไม่คลอนแคลน ยังคงรักมั่นอยู่กับเรณู จนกระทั่งได้พบกับอีกครั้ง แล้วก็ขอใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อดูแลเรณูตลอดชีวิต

ส่วนเอกบดินทร์กับเกวลิน แอบหงุดหงิดเล็กน้อย กับความเป็นคนดีเกินไปของพระเอก ทั้งๆ ที่มีเกวลินอยู่แล้ว แต่เอกบดินท์ก็อดไม่ได้ที่จะไปช่วยเหลือลลิตาแฟนเก่าแทบทุกครั้งที่นางร้องขอ เป็นคนดีไปไหมยะพ่อคุณ ส่วนเกวลินก็น่าหมั่นไส้อยู่นิดนึงตรงที่ไม่ชอบเคลียร์ ชอบหนี ชอบหลบโทรไปไลน์ไปก็ไม่รับไม่ตอบ แบบนี้ออกจะน่าโมโหไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าฉันเป็นผู้ชาย เจอผู้หญิงแบบนี้เลิกไปนานแล้วย่ะ บอกเลย

คะแนน
8/10 (ใจจริงอยากให้ 9 แต่ขอหักค่าหงุดหงิดเล็กๆ 1 คะแนน)